9.แนวความคิดตามทฤษฎีการวิเคราะห์การติดต่อสื่อสาร
ทฤษฎีการวิเคราะห์การติดต่อสัมพันธ์ (Transactional Analysis –
TA)
ผู้ริเริ่ม Eric Berne (1910 – 1970 )
ทฤษฎีการให้การปรึกษาแบบวิเคราะห์เชิงสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (TA) ถือกำเนิดขึ้นราวช่วงปี ค.ศ.
1950 โดย อิริค เบอร์น (Eric
Berne) ซึ่งได้รับการอบรมเป็นจิตแพทย์และนักจิตวิเคราะห์ ในช่วงนั้นทฤษฎีจิตวิเคราะห์เป็นทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากต่อการบำบัดทางจิต อย่างไรก็ตามการค้นพบธรรมชาติของภาวะอีโก้ (Ego
State) โดยเบอร์นทำให้ TA
เกิดขึ้นและตกผลึกเป็นทฤษฎีที่มีความเป็นอิสระ
ดังนั้นการเผยแพร่ความคิดภาวะของอีโก้ในช่วงปี ค.ศ.
1955 – 1962 จึงจัดเป็นระยะแรกของการพัฒนา
TA การค้นพบภาวะของอีโก้มีพื้นฐานจากการทดลองทางประสาทวิทยาที่กระตุ้นเร้าสมองโดยตรงบุคคลจะมีประสบการณ์แสดงภาวะอีโก้ของความเป็นพ่อแม่ ผู้ใหญ่
และเด็ก ซึ่งเป็นตัวกำหนดความคิด ความรู้สึก
และพฤติกรรม เบอร์นยืนยันว่าภาวะอีโก้ทั้ง
3
สามารถสังเกตเห็นได้ในพฤติกรรมปัจจุบัน
เขานำการค้นพบนี้ไปใช้ในการจัดทำจิตบำบัดแบบกลุ่ม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการใช้แนวคิดจิตวิเคราะห์ในการบำบัด TA
คุณลักษณะของ TA คือ การให้ความสำคัญกับข้อตกลง (Contractual
) ที่ผู้ให้การปรึกษาและผู้รับการปรึกษาตกลงร่วมกันถึงเป้าหมายเฉพาะมี่สามารถวัดได้
และข้อตกลงนี้เป็นสิ่งที่ชี้นำทิศทางของกระบวนการปรึกษา คุณลักษณะเฉพาะถัดมาคือ การให้ความสำคัญกับการตัดสินใจและความรับผิดชอบของผู้รับการปรึกษา TA
จะช่วยให้ผู้รับการศึกษาโยงพฤติกรรมปัจจุบันความรู้สึกกับการตัดสินใจพื้นฐานที่ได้กำหนดต่อการมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม TA
เชื่อว่าผู้ได้รับการปรึกษาสามารถเลือกตัดสินใจใหม่ได้ โดยการแสดงความรับผิดชอบต่อการเลือกใหม่ คุณลักษณะประการที่ 3
คือการช่วยให้ผู้ได้รับการปรึกษามีความคุ้นเคยกับคำศัพท์ของ TA
โดยให้การศึกษา
คุณลักษณะต่อมาคือ การใช้ TA
จะได้ผลมากที่สุดเมื่อนำมาใช้กับการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม พฤติกรรมของผู้รับการปรึกษา สามารถสังเกตเห็นได้และเปลี่ยนแปลงในระหว่างการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม ลักษณะเฉพาะข้อสุดท้ายคือ ผู้ให้การปรึกษาแบบ TA
ทุกกลุ่มจะประยุกต์ใช้ภาวะของอีโก้และบทชีวิตในการช่วยเหลือผู้รับการปรึกษาโดยมีพื้นฐานของสัมพันธ์ภาพระหว่างผู้ให้การปรึกษาและผู้รับการปรึกษาแบบ I’M\m OK – You’re OK
ทฤษฎีบุคลิกภาพ
พัฒนาการของบุคลิกภาพสามารถเข้าใจได้ผ่านแนวคิดที่สำคัญต่างๆ ได้แก่
ภาวะอีโก้
การได้รับความเอาใจใส่ คำสั่ง การตัดสินใจ
การสร้างบทชีวิต เกม การติดต่อสัมพันธ์ และตำแหน่งชีวิต ซึ่งแนวคิดนี้สะท้อนอิทธิพลของฟรอยด์ อย่างไรก็ตามโครงสร้างของอิด อีโก้
ซูเปอร์อีโก้
เกิดขึ้นในจิตไร้สำนึก
ในขณะที่โครงสร้างบุคลิกภาพตามแนวคิดของทฤษฎีนี้มีพื้นฐานอยู่กับจิตรู้สำนึกโครงสร้างหลักของบุคลิกภาพคือ ภาวะพ่อแม่
เด็ก และผู้ใหญ่ ภาวะทั้งสามนี้พัฒนาขึ้นอย่างสม่ำเสมอและสามารถทำนายได้
ภาวะของอีโก้
ภาวะเด็กของอีโก้
(The Child State)
เด็กแรกเกิดมีสัญชาตญาณธรรมชาติของการแสดงพฤติกรรม เช่น
ร้องไห้ ส่งเสียงเอิ๊กอ๊าก ดูด
เลีย
ฯลฯพฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงภาวะแรกเริ่มของอีโก้ซึ่งแฮริส ( Harris & Harris, 1985 ) ให้เชื่อว่า The Early Child หรือ Somatic Child ในช่วงใดของชีวิตหารกบุคคลมีพฤติกรรมเหมือนทารกเรียกว่าในขระนั้นบุคคลอยู่ในภาวะ Eaely Child Ego
หน้าที่พื้นฐานของภาวะเด็กของอีโก้มี 2 ภาวะคือ
1. ภาวะเด็กอิสระ ( The Free Child : FC
) หรือเด็กธรรมชาติ ( The
Natural Child : NC ) ภาวะเด็กอิสระ เป็นภาวะที่แสดงกิริยาไปตามธรรมชาติ ไม่ปิดบังความต้องการแท้จริง ขี้เล่น
เต็มไปด้วยพลังสนุกสนาน
อยากรู้อยากเห็น
หรือแสดงอารมณ์อิจฉาปึงปัง
ไม่ได้ดั่งใจออกมาตรงๆ
บุคคลที่อยู่ในภาวะนี้นานเกินไปอาจแสดงถึงการไม่สามารถควบคุมตนเอง ไม่มีความรับผิดชอบ
2. ภาวะเด็กปรับตัว ( The Adapted
Child : FC ) หน้าที่ของภาวะเด็กปรับตัว คือ
แสดงกิริยาของเด็กที่รู้จักปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะพ่อ แม่
เพราะกลัวการถูกลงโทษหรือการไม่ได้รางวัล
เช่น ความรัก คำชมเชย
ของเล่น ขนมที่ต้องการ ฯลฯ
พฤติกกรมที่แสดงออกเหมือนรู้ว่ามีผู้ใหญ่จับตาดูอยู่ เช่น
ยินยอม ขยันขันแข็ง ขณะเดียวกันอาจแสดงพฤติกรรมตรงข้าม เช่น
ต่อต้าน ไม่ยอม
กล่าวโดยสรุป
ภาวะเด็กอิสระแสดงออกถึงความรู้สึกหรือพฤติกรรมตามธรรมชาติโดยไม่คำนึงถึงปฏิกิริยารอบข้าง ในขณะที่ภาวะเด็กปรับตัว เป็นการแสดงออกเพื่อปรับให้เข้ากับผู้อื่น
ภาวะผู้ใหญ่ของอีโก้ (The Adult
Ego State)
เมื่อทารกเริ่มพัฒนาภาษาพูด ความสามารถในการเก็บสะสมข้อมูลก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ระยะนี้เป็นช่วงที่เริ่มพัฒนาหน้าที่ในส่วนของภาวะผู้ใหญ่
คือการรับข้อมูลจากโลกภายนอกและจากภาวะอีโก้อื่นๆ แล้วนำมาประมวลเพื่อช่วยในการตัดสินใจ การตัดสินใจไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป เพราะข้อมูลที่รับมาอาจไม่ถูกต้องหรือได้มาไม่พอเพียง
ภาวะผู้ใหญ่ยังมีหน้าที่เป็นกรรมการการจัดการระหว่างข้อเรียกร้องของภาวะพ่อแม่ กับความต้องการของภาวะเด็ก
นอกจากนี้ยังเป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ใช้เหตุผลตั้งคำถามในทำนองว่า “ทำไม”
และ “อย่างไร” นั่นคือคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ภาวะพ่อแม่ของอีโก้ (The Parent
Ego State)
ภาวะนี้
หมายถึง ความเชื่อ อารมณ์
ความรู้สึก
และพฤติกรรมที่เด็กเลือกรับและจดจำในเรื่องของภาษา
รวมทั้งภาพลักษณ์ของพ่อแม่ที่เด็กสร้างขึ้น
ภาวะพ่อแม่มีความแตกต่างจากภาวะพ่อแม่ตอนต้น ( Early Parent
) กล่าวคือภาวะพ่อแม่ครอบคลุมทัศนคติหรือพฤติกรรมที่เด็กจดจำรับเข้ามา ไม่เจาะจงเฉพาะจากพ่อแม่ แต่รวมข้อมูลภายนอกอื่นๆด้วย สำหรับภาวะพ่อแม่ตอนต้น
เป็นภาวะที่เด็กรับเอาความรู้สึกและพฤติกรรมของพ่อแม่โดยการตีความจากภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน ขณะที่ยังไม่พัฒนาภาษาพูด
ภาวะพ่อแม่ตามหน้าที่หมายถึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. พ่อแม่เอื้อเฟื้อ ( Nurturing Parent : NP )
NP คือ ส่วนที่แสดงความห่วงใย เอาใจใส่
ปกป้อง
ลักษณะดังกล่าวอาจมีความพอดีหรือมากเกินไป
2. พ่อแม่วิพากษ์วิจารณ์หรือพ่อแม่ควบคุม ( Critical หรือ Controlling Parent : CP )
CP คือ ส่วนที่ข่มขู่ แสดงอำนาจ
กดขี่ ลำเอียง ควบคุม
ส่วนนี้บอกถึงลักษณะแฝงของบุคลิกภาพที่ไม่เชื่อในความคิดของตนเอง
นอกจากนี้ยังแสดงถึงความไม่ไว้วางใจตนและผู้อื่น และแสดงออกโดยใช้อำนาจเป็นส่อตอบสนองข้อเรียกร้องความต้องการของตน
แนวคิด
พฤติกรรมของบุคคลจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเวลา –
โดยจะเปลี่ยนแปลงใน 3 ลักษณะ
ดังนี้
1. พฤติกรรมแบบบิดามารดา ( Parent Ego
State : P)
-แสดงออกในลักษณะของความรักใคร่ เอ็นดู
ปลอบประโลม ห่วงใย หวังดี
- เกรี้ยวกราด
ดุด่าว่ากล่าว
ใช้อำนาจสั่งการ ตำหนิติเตียน เยาะเย้ย
ประชดประชัน
- ยึดถือประเพณี
ระเบียบแบบแผน
- เป็นพฤติกรรมที่ได้รับจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก
- การสังเกตและจดจำ
เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็จะแสดงพฤติกรรมดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว
2.
พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ ( Adult Ego
State : A
- แสดงออกในลักษณะตรงไปตรงมา มีเหตุผลและข้อเท็จจริง ไม้ใช้อารมณ์หรือความคิดเห็นส่วนตัว
-
จะพัฒนาตั้งแต่อายุ 10 เดือน
โดยเปรียบเทียบการกระทำของตนกับสิ่งที่พ่อแม่ห้ามปรามจนค้นพบว่าอรไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
3.
พฤติกรรมแบบเด็ก ( Child Ego
State : C)
-
ชุดของความรู้สึก เจตคติ และรูปแบบพฤติกรรมซึ่งบุคคลได้กระทำในวัยเด็ก
- สดชื่น
ร่าเริง มีชีวิตชีวา กล้าหาญ
สร้างสรรค์ การพูดที่แสดงออกมามีอิสระ เปิดเผยตรงไปตรงมา
-
ขาดเหตุผล
-
เอะอะ โวยวาย เสียงดัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น