8.แนวความคิดตามทฤษฎีบุคลิกภาพของฟรอมม์
แนวคิดทางบุคลิกภาพ อิริค
ฟรอมม์(Erich Fromm)
อีริค ฟรอมม์เป็นนักทฤษฏีบุคลิกภาพที่มีพื้นฐานการศึกษาทางสังคมวิทยาและจิตวิทยาแล้วทำงานเป็นอาจารย์
จากพื้นฐานการศึกษาอย่างกว้างขว้างทางประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา
วรรณคดีและปรัชญา เขาได้ทุ่มเทความสนใจเพื่ออธิบายความเห็นว่า
โครงสร้างของสังคมใดๆย่อมกล่อมเกลาบุคลิกภาพของสมาชิกให้เข้ากันได้กับค่านิยมส่วนรวมของสังคมนั้นๆ
หนังสือของฟรอมม์ได้รับการต้อนรับอย่างแพร่หลายจากนักอ่านทั่วโลก นอกจากผู้ศึกษาสาขาจิตวิทยา จิตแพทย์ สังคมวิทยา ปรัชญา และศาสนา
ยังรวมทั้งผู้อ่านที่สนใจความรู้ทั่วๆไปด้วย
ประวัติ
แอริค ฟรอมม์
เกิกที่เมืองฟรังก์เฟิร์ต เยอรมันเมื่อค.ศ.1900 ศึกษาที่มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก
สาขาจิตวิทยาและสังคมวิทยา ได้ปริญญาเอกเมื่อค.ศ.1922ต่อมาได้ฝึกฝนจิตวิเคราะห์ที่เมืองมิวนิค และปีค.ศ.1933เดินทางไปอเมริกาเป็นอาจารย์ผู้บรรยายวิชาจิตวิเคราะห์
ต่อมาย้ายไปอยู่นิวยอร์กเปิดคลินิกจิตวิเคราะห์ของตนเองได้รับเชิญเป็นผู้บรรยายวิชานี้ในสถาบันการศึกษาหลายแห่งในอเมริกา
แนวคิดที่สำคัญ
แนวคิดของฟรอมม์สะท้อนให้เห็นว่าได้รับอิทธิพลจากความคิดของคาร์ล มาร์กซเป็นอย่างมาก โดยฉพาะจากหนังสือชื่อ ที่เขียนในปี1944
และหนังสือที่เขาเขียนพาดพิงเกี่ยวพันกับความคิดของมาร์กซ์โดยตรงมีหลายเล่มเช่น
ฟรอมม์เปรียบเทียบความคิดของฟรอยด์กับมาร์กซ์และแสดงความชื่นชมความคิดของมาร์กซ์มากกว่าความคิดของฟรอยด์
จนฟรอมม์ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นนักทฤษฎีบุคลิกภาพแบบมาร์กซ์
แนวคิดที่สำคัญบางประการมีดังนี้
ความอ้างว้างเดียวดาย
เรื่องนี้เป็นสาระที่ฟรอมม์อธิบายมาก
เขาเชื่อว่ามนุษย์ยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับความอ้างว้างเดียวดายด้วยสาเหตุหลายประการเช่น
1.
การที่มนุษย์มีเหตุผลและจินตนาการต่างๆทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการทางอารายธรรมเพิ่มขึ้น
ในขณะเดียวกันก็แยกตัวเหินห่างจากธรรมชาติ จากสัตว์โลกพวกอื่นๆและจากบุคคลอื่นๆ
2.
มนุษย์แสวงหาอิสรเสรีทุกขั้นตอนของกระบวนการพัฒนา
เมื่อได้มาแล้วก็จำต้องแลกเปลี่ยนด้วยความอ้างว้าง ตัวอย่างเช่น
เด็กวัยรุ่นที่เป็นอิสระพ้นจากความดูแลพ่อแม่ผู้ปกครอง
จะพบว่าตัวเองเผชิญความว้าเหว่
3.พัฒนาการทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ในวัตถุใช้สอยประจำวัน
เช่นเครื่องมือเพื่อความบันเทิง เครื่องทุ่นแรงในการทำงาน ทำให้มนุษย์มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นน้อยลง
เมื่อต้องติดต่อพูดจาก็มีท่าทีห่างเหินไว้ตัว
ฟรอมม์เสนอ
ทางแก้ความอ้างว้าง2ประการ คือ
1.สร้างสัมพันธภาพกับเพื่อนมนุษย์บนพื้นฐานความรักสร้างสรรค์(
productive Love ) ซึ่งได้แก่
-ความเอื้ออาทรต่อกัน
-ความรับผิดชอบต่อกันและกัน
-ความนับถือซึ่งกันและกัน
-ความเข้าใจซึ่งกันและกัน
2.ยอมตนอ่อนน้อมและทำตัวคล้อยตามสังคม
ฟรอมม์มีความเห็นว่ามนุษย์เราใช้เสรีภาพสร้างสังคมให้ดีขึ้นได้ตามข้อเสนอข้อแรก
ส่วนการแก้ไขความอ้างว้างด้วยการทำตัวคล้อยตามสังคมตามข้อเสนอข้อหลังเขาเห็นว่าเป็นการเข้าสู่ความเป็นทาสรูปแบบใหม่นั่นเอง ในหนังสือ Escape from
Freedom ที่เขาเขียนในปี1941 ขณะลัทธินาซีกำลังรุ่งโรจน์
เขาชี้ให้เห็นว่าลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จนั้นถูกใจคนหมู่มากเพราะมันเสนอจะให้ความมั่นคง(แก่ผู้รู้สึกอ้างว้าง)ความต้องการ
ฟรอมม์ กล่าวว่ามนุษย์มีความติองการ5ประการ คือ
1.ความต้องการมีสัมพันธภาพ
เนื่องจากมนุษย์พบกับความอ้างว้างเดียวดายตามเหตุที่ได้กล่าวมาจึงต้องแก้ไขด้วยการสร้างสัมพันธภาพกับคนอื่นๆ
วิธีที่ดีงามต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความรักแบบสร้างสรรค์(ความเอื้ออาทรต่อกัน/ความรับผิดชอบต่อกันและกัน/ความนับถือซึ่งกันและกัน/ความเข้าใจซึ่งกันและกัน
2.ความต้องการสร้างสรรค์
เนื่องจากมนุษย์ที่มีความสามารถทางสติปัญญาและอารมณ์สูง
จึงมีความต้องการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมของชีวิตแตกต่างกับสัตว์โลกชั้นต่ำ
หากผู้ใดไม่มีความต้องการประเภทนี้ก็มักจะเป็นนักทำลาย เป็นอันตรายต่อผู้อื่นและสังคม
3.ความต้องการมีสังกัด
คือความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว/ของสังคม/ของโลกความต้องการประเภทนี้ที่น่าพึงพอใจและถูกต้องคือการมีไมตรีจิตกับเพื่อนมนุษย์โดยทั่วไป
4.ความต้องการมีอัตลักษณ์แห่งตน
คือความต้องการจะเป็นตัวของตัวเอง ความต้องการที่จะรู้จักว่าตัวเองเป็นใคร
5.ความต้องการมีหลักยึดเหนี่ยว
คือความต้องการที่จะมีหลักสำหรับอ้างอิงความถูกต้องในการกระทำของตนเช่น
คำกล่าวอ้างว่า—ฉันทำอย่างนี้เพราะหัวหน้าสั่งให้ทำหรือ—ฉันต้องมีรถยนต์เพราะไปทำธุระสะดวกขึ้น/ ข้ออ้างเหล่านี้อาจสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ได้
ความขัดแย้ง
มนุษย์ทุกเพศทุกวัยในสังคม
ต่างมีความขัดแย้งในตนเองเช่น
ความขัดแย้งระหว่างความรู้สึกอ้างว้างและความรู้สึกมีอิสระเสรี/ความเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติกับความห่างเหินจากธรรมชาติ/ความเป็นสัตว์โลก(คือความต้องการทางชีวภาพล้วนๆไร้กฏเกณฑ์)กับความเป็นมนุษย์(ความมีสำนึกรู้-การใช้เหตุผล-การมีจินตนาการ-ความนิ่มนวล-ความรักใคร่ไยดีฯลฯ)
อิทธิพลของสังคม
ฟรอมม์เป็นนักสังคมศาสตร์
แต่ได้รับการอบรมด้านจิตวิเคราะห์ร่วมด้วย
เนื่องจากเขาเคยอพยพจากยุโรปเข้ามาสู่อเมริกาในช่วงเวลาหนึ่งได้เห็นความแตกต่างระหว่างสังคมยุโรปกับสังคมอเมริกันทำให้ฟรอมม์ยิ่งมีความเชื่อมั่นว่า
สังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างสูง
ประสบการณ์นี้และความรู้ด้านสังคมศาสตร์
ทำให้เขาอธิบายลักษณะสังคมแบบต่างๆที่มีผลต่อการวางรูปแบบพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมแบบนั้นๆ
สังคมแห่งการวางอำนาจ (Authoritarian)
เนื่องจากมนุษย์กลัวความว้าเหว่ที่จะต้องเผชิญโลกอยู่อย่างโดดเดี่ยว
จำต้องแลกความเป็นอิสระของตนเองกับการได้ถูกนับเข้าในหมู่คณะและการตามผู้นำอย่างไม่ต้องคิด จึงจำเป็นต้องยอมอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้มีอำนาจ ส่วนผู้มีอำนาจนั้นก็ถือโอกาสวางกฎเกณฑ์ไว้ให้คนทั้งหลายปฏิบัติตาม
ใครฝ่าฝืนเป็นผิด ถ้าเป็นทางบ้านเมืองก็ได้รับโทษหนัก ถ้าเป็นทางศาสนาก็เป็นบาปมหันต์ มีกฎตายตัวอยู่ว่าต้องเชื่อผู้นำ
ไม่ว่าผู้นำจะผิดหรือถูกก็ตาม
ทั้งนี้ย่อมขัดกับหลักการรักตัวเองซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนและขัดกับหลักการความรับผิดชอบ
ซึ่งมนุษย์มีต่อความก้าวหน้าของมนุษยชาติ
ฟรอมม์เห็นว่าความรักตนเองกับความรักผู้อื่นไม่แตกต่างกันเลย
ผู้ที่รักตนเองเท่านั้นจึงจะรู้จักรักคนอื่นได้
แต่ในสังคมแห่งการวางอำนาจทำให้ยากที่คนเราจะรักนับถือตนเองได้เพราะแม้แต่ตนเองก็ขาดความเป็นอิสรเสรี
สังคมแห่งการผลิตผล(Productivity)
ในหนังสือMan for Himself ฟรอมม์ชี้ให้เห็นว่าความมุ่งหมายของมนุษย์คือ
การมีชีวิตอยู่อย่างเป็นประโยชน์ โดยมีการผลิตผลแก่เพื่อนร่วมโลก
ทัศนคติในทางผลิตผลนี้ก็เกิดจากการรักตนเอง การที่เรามีความรักตนเองทำให้เรารักผู้อื่นเป็น ความรักทำให้มนุษย์มีความเอื้ออาทร มีความรับผิดชอบต่อผู้อื่นตามสิทธิที่เขาควรได้
นั่นคือสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์นั่นเอง
ผู้ที่อยู่ในสังคมแห่งการผลิตผล
ย่อมมีบุคลิกภาพอันเป็นอุดมการณ์ที่มนุษย์ประสงค์จะมี แต่จะมีได้มากเพียงใดนั้นก็สุดแต่ความตั้งใจมุ่งมั่นของมนุษย์ มนุษย์ไม่นิยมการอยู่อย่างเปล่าประโยชน์
บุคคลผู้มิได้สร้างสรรค์สิ่งใดให้กับสังคมให้กับโลกเลยนั้นแม้จะโชคดีเกิดมาบนกองเงินกองทอง
แต่ไร้ความสุขที่แท้จริงแม้ภายนอกจะดูเบิกบานแต่ส่วนลึกในจิตใจหามีความพออกพอใจไม่
ยิ่งตักตวงเอาความสุขเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่างเปล่า
บุคคลที่รู้ตัวว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อทำประโยชน์อะไรเลยชีวิตจะเต็มไปด้วยความหวาดกังวล กลัวความแก่และความตายอย่างถึงขนาด
ส่วนผู้ที่อิ่มใจเพราะได้ทำประโยชน์ตามฐานานุรูปของตนย่อมสามารถเผชิญกับความแก่ความตายอย่างองอาจ
ถือว่าความแก่เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าความงามฉาบฉวยแห่งร่างกาย
ถือเสียว่าตนเองได้ทำสิ่งที่ควรทำมาแล้วย่อมนอนตายตาหลับ
สังคมแห่งการเอาเปรียบ(Receptive)
ได้แก่สังคมที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งตักตวงเอาประโยชน์จากผู้อื่น เช่นลัทธิเจ้าขุนมูลนาย
หรือลักษณะนายกับทาส
ผู้ใดอยู่ในฐานะผู้น้อย
ยอมรับว่าตนเป็นไพร่พลหรือข้าทาสก็ยอมก้มหน้าแบกภาระซึ่งผู้เป็นนายบัญชาลงมาเพื่อแลกกับผลตอบแทนคือการคุ้มครองป้องกันจากเจ้าขุนมูลนาย ผู้น้อยในสังคมประเภทนี้ตรงกับOral passive ของฟรอยด์และพวกยอมของฮอร์นาย
ผู้ที่อยู่ในสังคมแห่งการเอาเปรียบย่อมกลายเป็นผู้อาศัยผู้อื่นตลอดกาล ต้องอาศัยพ่อแม่เพื่อนฝูง
นายผู้มีอำนาจหรือเทพเจ้าอยู่ทุกลมหายใจหากขาดสิ่งนี้ก็ขาดที่พึ่ง
จะรู้สึกอ้างว้างสุดพรรณนา
ผู้ที่อยู่ในสังคมประเภทนี้จะต้องยอมอ่อนน้อมยอมตนต่อผู้มีอำนาจ
เพราะไม่กล้าที่จะเสี่ยงออกไปเป็นอิสระ
จำเป็นต้องหาที่เกาะ
ด้วยเหตุเป็นสังคมที่ชอบออกแรงเพื่อให้ได้อะไรมา
จึงสอนให้คนเรียนลัดหรือรวยทางลัด
สังคมแห่งการขูดรีด(Exploitative)
ได้แก่สังคมที่มีการกดขี่ข่มเหงทำนาบนหลังคน
แบบนายทุนในศตวรรษที่18-19 กล่าวคือนายทุนเห็นแก่ได้ไม่ยอมจัดบริการหรือสวัสดิการให้แก่คนงานที่ทำประโยชน์ให้แก่ตนเลย
บุคคลในสังคมเช่นนี้ย่อมเต็มไปด้วยการชิงดีหักล้างกัน จะเป็นด้วยไหวพริบหรือเอากันซึ่งๆหน้า ตรงกับประเภทOral-aggressiveของฟรอยด์
ผู้อยู่ในสังคมแห่งการขูดรีด ย่อมเอาเปรียบผู้อื่นด้วยการตักตวงผลประโยชน์
แต่ต้องได้อะไรมาด้วยการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบ การได้อะไรฟรีๆคนพวกนี้ไม่นับถือ
เพราะเห็นว่าของฟรีนั้นแสดงว่าผู้อื่นไม่ต้องการแล้ว ไม่มีค่าสู้ได้มาด้วยเหลี่ยมคูซึ่งตนถือว่าดีกว่าไม่ได้ ถ้ามีการแจกของฟรีบุคคลประเภทเอาเปรียบจะรีบไปรับแจกแต่บุคคลประเภทขูดรีดจะไม่แยแส
แต่ถ้าแย่งมาหรือขโมยมาก็จะภูมิใจมาก
ถ้าบุคคลประเภทนี้มีคู่รักก็มิใช่เพราะเห็นคุณค่าของคนรักนั้นโดยตรงแต่เป็นเพราะคนรักนั้นเป็นที่หมายปองของบุคคลอื่นๆต่างหาก
สังคมประเภทสะสม(Hoarding)
บุคคลในสังคมประเภทนี้มักหัวโบราณ ได้แก่พวกเศรษฐี
ซึ่งถือว่าการมีที่ดิน มีเงินในธนาคารเป็นหลักทรัพย์นั้นถือว่าพอใจแล้ว
ยึดถือการเก็บหอมรอมริบ การตระหนี่เหนียวแน่นเป็นสำคัญ คนในสังคมประเภทนี้ไม่ชอบความคิดใหม่ๆ
และมักชอบอิจฉาริษยา
ไม่ชอบให้ใครอื่นเข้ามายุ่งในแวดวงของตน
บุคคลที่อยู่ในสังคมประเภทสะสม
ย่อมมีความอบอุ่นใจที่ได้เก็บหอมรอมริบ
ถ้าต้องใช้จ่ายอะไรสักอย่างหนึ่งก็จะรู้สึกว่าเป็นการสูญเสียอย่างร้ายแรง
ถือความเป็นเจ้าของเป็นเรื่องสำคัญ แม้แต่คู่ครองก็ถือว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งซึ่งตนภูมิใจที่ได้มาครอบครอง อีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกอย่างไรก็ไม่สำคัญ
สังคมประเภทการตลาด(Marketing)
เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่ตามความแพร่หลายของลัทธินายทุนสมัยใหม่
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์มีน้อยลงทุกที
ชีวิตทั้งหลายมีอยู่เพื่อการแลกเปลี่ยนมากกว่าการสร้างสรรค์ผลิตผล ปรากฏว่าตราและการโฆษณามีความสำคัญยิ่งกว่าผลิตผล บุคคลกลายเป็นที่สำหรับแลกเปลี่ยน
แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนก็เหมือนกับอยู่โดดเดี่ยวอ้างว้าง ดังที่ฟรอมม์กล่าวไว้ในหนังสือ The Lonely Crowd
ผู้ที่อยู่ในสังคมประเภทการตลาด เป็นอันว่าในสังคมประเภทนี้ สัมพันธภาพระหว่างบุคคลเป็นอันสิ้นสุดลง
สังคมมีแนวโน้มไปในทางวัตถุนิยมมากเท่าใดยิ่งผลิตบุคคลประเภทนี้มากขึ้นเท่านั้น
บุคลิกภาพประเภทการตลาดเกิดจากสังคมที่เรียกตนเองว่าเป็นผู้ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม
ความก้าวหน้าแบบนี้ทำให้มนุษย์ห่างเหินจากเพื่อนมนุษย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
นับว่ามนุษย์ต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองให้กับสังคมประเภทนี้เหลือแต่ความคิดว่าหว่านพืชต้องหวังผลหรือตัวใครตัวมัน
องค์ประกอบในการสร้างบุคลิกภาพ
ฟรอมม์เห็นว่าบ้านมีอิทธิพลที่สำคัญแก่บุคลิกภาพ ฟรอมม์ตั้งข้อสังเกตว่าการเลี้ยงดูเด็กสมัยใหม่นี้เปลี่ยนแปลงไปมาก
สมัยนี้พ่อแม่ไม่มั่นใจว่าทำอย่างไรจะถูกเลยปล่อยให้เด็กรับผิดชอบเอาเอง
แต่ความรับผิดชอบก็คือภาระอย่างหนึ่ง ถ้าหนักเกินกำลังเด็กก็แบกไม่ไหว
พ่อแม่สมัยนี้มีระดับการครองชีพดีกว่าสมัยก่อน
เห็นว่าคนรุ่นตนลำบากมาแล้วไม่อยากให้ลูกต้องลำบากเหมือนตนจึงหาความสบายมามอบให้
ทำให้ลูกกลายเป็นคนประเภทเอาเปรียบคือได้อะไรมาง่ายๆจึงไม่มีความมานะพยายาม
ครั้นลูกทำอะไรไม่สำเร็จพ่อแม่ก็ผิดหวัง
ส่วนลูกก็ไม่มีความสุขนักเพราะวิสัยมนุษย์นั้นย่อมแสวงหาความสำเร็จ
แต่การเลี้ยงดูนำไปสู่การเลี้ยงไม่รู้จักโตเลยกลายเป็นวงจรร้ายมิอาจสร้างสังคมที่ดีงามได้ บุคลิกภาพอันเป็นอุดมการณ์ของมนุษย์เกิดขึ้นจากสัมพันธภาพแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
ร่วมทุกข์ร่วมสุข มิใช่ว่าให้ฝ่ายหนึ่งแบกภาระแต่อีกฝ่ายไม่รับผิดชอบ
ฟรอมม์กล่าวว่าสัมพันธภาพแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขจะมีขึ้นมาได้ก็ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ใจ
ฟรอมม์มีความเชื่อมั่นว่ามนุษย์มีความใฝ่ดีและสามารถควบคุมตัวเองได้แต่จากหนังสือเล่มหลังสุดชื่อAnatomy of Humam Destructiveness ได้แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยในพลังแห่งจิตไร้สำนึกซึ่งถือว่าเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมมนุษย์จะหนักไปทางความรุนแรง
อย่างไรก็ตามฟรอมม์ไม่เห็นด้วยกับนักชีววิทยาฝ่ายสัญชาตญาณอันมี Konrad
Lorenz เป็นต้นซึ่งถือเอาผลของการศึกษาสัตว์มาเทียบเคียงกับมนุษย์
และเห็นว่าความรุนแรงเป็นนิสัยอันเป็นมรดกที่สืบเนื่องมาจากธรรมชาติของสัตว์ที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน และฟรอมม์ก็ไม่เห็นด้วยกับนักพฤติกรรมศาสตร์เช่น
B.F. Skinnerที่ถือว่านิสัยรุนแรงของมนุษย์เกิดจากการวางเงื่อนไขที่เลวและอาจแก้ไขได้ด้วยการวางเงื่อนไขกลับให้พฤติกรรมมนุษย์ในอนาคตไปสู่ความสงบ
ฟรอมม์เห็นว่าการจับเอามนุษย์มาวางเงื่อนไขเอาตามใจชอบนั้นขัดกับพื้นฐานความเป็นมนุษย์
ฟรอมม์เชื่อมั่นว่าสังคมที่เราอยู่ต่างหากที่จะสร้างนิสัยรุนแรงหรือสงบ
ดังนั้นจึงควรเน้นที่หน้าที่ของสังคม ดูเหมือนว่าฟรอมม์จะเป็นนักจิตวิทยาคนเดียว
ที่ได้อธิบายรูปแบบของสังคมประเภทต่างๆที่หล่อหลอมบุคลิกภาพของคนในสังคมนั้นให้เป็นไปอย่างนี้หรืออย่างนั้น
ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดวิจารณ์ค้านแนวคิดเรื่องอิทธิพลของลักษณะทางสังคมที่มีต่อบุคลิกภาพของมนุษย์
แต่ก็มีนักวิจารณ์บางท่านกล่าวว่าฟรอมม์เห็นสังคมมนุษย์สวยงามเกินไป
เพราะแท้จริงแล้วมนุษย์ไม่สามารถจัดการสังคมให้ดีงามและเหมาะสมสำหรับคนทุกคน เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนไม่ได้ดีงามเหมือนๆกันทุกคน
สมรรถภาพของแต่ละคนก็แตกต่างกัน
ทฤษฏีที่น่าสนใจของฟอรมม์มีดังนี้
1.การเป็นผู้วางอำนาจ
ฟอรมม์สนใจในอิทธิพลของการเป็นผู้วางอำนาจของบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดที่มีต่อสังคม เขาเขียนไว้ในหนังสือ เพราะเหตุที่คนเรากลัวความหว้าเหว่ที่ต้องผจญอยู่แต่ผู้เดียว แม้ว่าต้องแลกกับความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งปราถนามาแต่ต้น ก็ทำให้คนเราจำยอมอ่อนน้อมต่อผู้วางอำนาจ ยอมตามผู้นำ
ฟอรมม์สังเกตเห็นว่าภายใต้ลัทธิวางอำนาจนี้ ผู้ใดผ่าฝืนถือว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ เพราะมีกฎตายตัวอยู่ว่าต้องเชื่อผู้นำ แม้ว่าผู้นำจะผิดก็ไม่มีทางที่จะเถียงได้ ทั้งนี้ย่อมขัดกับหนักความรักของตัวเอง
และความรับผิดชอบที่คนเรามีต่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ชาติ
2.การผลิตผล
ฟรอมม์มีความเห็นว่ากิจกรรมสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ
ทำอย่างไรจึงจะเจริญสัมพันธภาพกับโลกแห่งผู้คนและสิ่งต่างๆและกับตัวเองได้ดีสัมพันธภาพนี้อาจเป็นในทำนองผลิตผลหรือทำลาย
ฟรอมม์ได้เน้นไว้ในหนังสือ Man for Himself
ว่าความมุ่งหมายและหลักศีลธรรมของมนุษย์ก็คือ
การมีชีวิตอยู่อย่างมีประโยชน์
ไม่อยู่เปล่าโดยปราศจากผลิตผลให้เป็นที่อาศัยของเพื่อนร่วมโลก
ฟรอมม์ชี้ให้เห็นว่าบุคคลที่ทำประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่แท้จริงนั้นมิใช่ประเภทที่วิ่งวุ่นวาย
เจ้ากี้เจ้าการ ในการจัดงานกุศลง่ายๆ สาระแนไปเสียทุกเรื่อง
หรืออุทิศเวลาให้แก่สังคมเสียจนไม่เป็นอันกินอันนอน
อันที่จริงบุคคลประเภทเจ้ากี้เจ้าการนั้นก็อยู่ในประเภทโรคประสาทไม่แพ้พวกขี้เกียจเลย
บุคคลที่บำเพ็ญประโยชน์อันที่จริงแล้วย่อมแตกต่างจากพวกวุ่นวายและพวกขี้เกียจเพราะเขามีความสามารถที่จะมองเห็นสถานการณ์ที่แท้จริงและยอมรับนับถือผู้คนที่ตอยูในสถานการณ์นั้น
ตามฐานะที่แท้จริงของเขาบุคคลที่มีความสามารถเช่นนี้ย่อมรู้จักมองโลกเป็นการไม่เข้าใครออกใครและขณะเดียวกันก็รู้จัก
เอาใจเขามาใส่ใจเราได้เหมือนกันความสมารถวางตนเป็นกลาง
และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนี้ถ้าถือแต่อย่างใดอย่างเดียว
จะทำให้เราไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ที่แท้จริงได้ จนเราต้องมีทั้งสองอย่าง
จึงจะสามารถเกิดเจตคติในทางผลิตผลขึ้นได้ อันว่าเจตคติในทางผลิตผลนี้ย่อมเกี่ยวกับความรักด้วย
ตามปกติธรรมดามนุษย์ผู้ต้องการความเป็นตัวของตัวเองย่อมต้องมีความรักตนเองเสียก่อน
3.บุคลิกภาพประเภทต่างๆ ฟอรมม์มีปรัชญาว่า
ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง หรือบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่โลกตลอดกาล จนไม่คิดถึงชีวิตชีวา บุคคลหนึ่งๆบุคคลเดียวกันนั้น
อาจจะเป็นได้ทั้งผู้บำเพ็ญประโยชน์และผู้ไร้ประโยชน์ หากแต่มีความต่างกันอยู่ตรงที่ความหนักเบาของบุคลิกภาพทั้ง2
ประเภทนี้ เช่น บางคนชอบการบำเพ็ญประโยชน์เป็นชีวิตจิตใจ ชีวิตอยู่ด้วยการบำเพ็ญประโยชน์เป็นส่วนใหญ่แต่บางคนอยู่เฉย อยู่เปล่าๆ
เป็นส่วนมาก
บางครั้งอุปนิสัยบางอย่างของคนเราอาจจะดูไม่ออกว่าอยู่ในลักษณะบำเพ็ญประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น