5.แนวความคิดตามทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคล อัลเฟรด แอดเลอร์
ทฤษฎีจิตวิทยาเอกัตบุคคลของอัลเฟรด แอดเลอร์
( Alfred
Adler’s Theory of
Individual Psychology)
ประวัติของอัลเฟรด แอดเลอร์
(ค.ศ. 1870-1937) แอดเลอร์
เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์
ค.ศ. 1870 ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ถึงแก่กรรมเมื่อปี ค.ศ. 1937
ที่เมืองอเบอร์ดีน
ในสกอตแลนด์
ขณะที่กำลังเดินทางไปปาฐกถาที่นั่น
เขาได้รับปริญญาทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยเวียนนา ในปี
ค.ศ. 1895 ด้านจักษุแพทย์ หลังจากที่มีการฝึกปฏิบัติทางการแพทย์ ได้หันมาสนใจทางจิตเวชและเป็นจิตแพทย์ในที่สุด
โครงสร้างทฤษฎีบุคลิกภาพ แอดเลอร์
ได้ย้ำอิทธิพลของสังคมและสัมพันธภาพระหว่างบุคคลว่ามีความสำคัญในการสร้างบุคลิกภาพ ดังนี้
1.
ปมด้อย – ปมเด่น
แอดเลอร์
เห็นว่าอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมสำคัญว่าพันธุกรรมสถานการณ์ทางสังคมจะช่วยหล่อหลอมบุคลิกภาพของคนเราให้เด่นชัดมากขึ้น เจตคติที่เรามีต่อตนเองตั้งแต่เด็กเป็นแบบแห่งบุคลิกภาพเมื่อเป็นผู้ใหญ่ เช่น
เด็กที่มีเจตคติว่าตนเองด้อยต้องพึ่งผู้ใหญ่ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็มักจะหาข้อแก้ตัวเมื่อตนเองไม่ประสบผลสำเร็จ เช่น
ตนสุขภาพไม่ดีปวดศีรษะ
เป็นโรคกระเพาะอาหาร
อีกประการหนึ่งจะใช้วิธีการต่อสู้เพื่อให้ตนเด่นขึ้นมาโดยแสดงตนเป็นคนก้าวร้าว มีอำนาจหรือยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น
2.
เจตคติของพ่อแม่
นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างบุคลิกภาพ เด็กที่ถูกตามใจจนเสียนิสัย คนอื่นต้องคอยเอาใจ เพราะเขามีความคิดว่าตนยิ่งใหญ่วิเศษกว่าใครๆ มีแต่จะเรียกร้องเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวไม่มีการให้ ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ยาก
หรือในกรณีที่พ่อแม่ทะนุถนอมลูกมากจนเกินไป
ทำให้ลูกหมดโอกาสที่จะต่อสู้ไปยังจุดหมายปลายทาง
ส่วนเด็กที่ถูกเกลียดชังถูกทอดทิ้งปราศจากความรักใคร่เอาใจใส่จากใคร
จนทำให้เขารู้สึกว่าโลกเป็นศัตรูและจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่มีไมตรีต่อผู้ใดและไม่ไว้วางใจใคร
ลักษณะการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ดีนั้น จะเลี้ยงดูด้วยความรัก ความเอาใจใส่
พร้อมทั้งสนับสนุนให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง
ไม่ช่วยเหลือมากเกินไป
แต่ก็ไม่ใช่ทอดทิ้ง
มีความเข้าใจเด็กไม่หักหาญ
ซึ่งเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูลักษณะนี้
จะมีความองอาจกล้าหาญ
ที่จะเผชิญความจริงสนใจสังคม
ไม่เห็นแก่ตัว
และใช้สามัญสำนึกในการดำเนินชีวิต
3.
สัมพันธภาพภายในครอบครัว นอกจากเจตคติของพ่อแม่แล้ว สัมพันธภาพในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ พี่น้อง
ก็มีความสำคัญต่อตัวเด็กด้วย
แอดเลอร์ได้รายงานการค้นคว้าว่า
ประสบการณ์ของเด็กแต่ละคนในฐานะลูกคนโต
คนรอง คนเล็ก จะสร้างบุคลิกภาพให้แก่เด็ก 3 ฐานะแตกต่างกัน ดังนี้
3.1
ลูกคนโต จะเป็นคนแรกที่พ่อแม่ให้ความสนใจสูงสุด ได้รับความรักจากพ่อแม่อย่างเต็มที่
เมื่อลูกคนรองเกิดมาลูกคนโตจะรู้สึกว่าความรักความสนใจที่พ่อแม่ให้เขาถูกปันไปยังลูกคนรอง
ทำให้เขารู้สึกว่าฐานะเขาไม่มั่นคงเหมือนแต่ก่อน
จึงเป็นเหตุให้เขาเกลียดชังคนอื่นและเกิดความรู้สึกต้องการช่วงชิง แต่พ่อแม่เตรียมตัวให้ลูกคนโตยอมรับน้อง
โดยพยายามพูดให้เขารู้ว่าเขามีน้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ และพยายามสร้างความรู้สึกของเขาให้รักน้อง โดยการให้เขาได้ลูบคลำท้องทุกๆวัน เพื่อให้เขารู้สึกว่าเขาก็เป็นเจ้าของน้อง และเมื่อคลอดแล้วพ่อแม่ก็ต้องพูดให้เขาเข้าใจว่าที่พ่อแม่ให้ความสนใจเพราะน้องยังช่วยตัวเองไม่ได้ ด้วยวิธีการดังกล่าวก็จะเป็นการช่วยให้ลูกคนโตไม่รู้สึกว่าเขาขาดความรักไป
เมื่อเขาโตขึ้นก็จะพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้เป็นคนมีความรับผิดชอบ มีเหตุผล
เป็นผู้นำ ไว้อำนาจ
3.2
ลูกคนรอง
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างลูกคนรองกับคนโตและลูกคนเล็ก ในเรื่องการปรับตัวพบว่า ลูกคนรองจะมีการปรับตัวได้ดีกว่าลูกคนโตและลูกคนเล็ก
เพราะพ่อแม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงดูคนแรกมาแล้ว
จึงไม่เคร่งเครียดเอาจริงเอาจังเหมือนเลี้ยงลูกคนโตดังนั้น ลูกคนรองจึงมักจะเป็นคนมีนิสัยรักสนุก
ไม่ค่อยสนใจที่จะทำตนเป็นผู้นำหรือมีความรับผิดชอบมากนัก บุคลิกภาพที่ปรากฏชัดในลูกคนกลาง คือ
ลักษณะที่ชอบแข่งขัน
และเมื่อเห็นพี่ทำอะไรก็อยากจะทำบ้าง
3.3
ลูกคนเดียว
พ่อแม่รักลูกมากก็จะตามใจ
เลี้ยงดูอย่างเคร่งครัด
ดังนั้น คนที่เป็นลูกคนเดียวผลการวิจัยเกี่ยวกับสัมพันธภาพทางครอบครัวปรากฏว่า
ลูกคนเดียวมักเฉลียวฉลาดอานเป็นเพราะได้อยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่เป็นส่วนมาก ทำให้ได้แนวคิดและเจตคติแบบผู้ใหญ่ นอกจากลำดับการเกิดแล้ว แอดเลอร์
ยังเน้นว่า
เจตคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูกเป็นเครื่องส่งเสริมให้ลูกรู้สึกว่าตนอยู่ในฐานะอะไร ถ้าพ่อแม่ให้ความรักความเอาใจใส่
และทำให้เขารู้สึกว่าลูกเป็นที่ต้องการของพ่อแม่ พ่อแม่มีความยุติธรรม ย่อมทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น
ลำดับการเกิดของลูกก็จะไม่ทำให้เกิดความแตกต่างของบุคลิกภาพมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น