10.แนวความคิดทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม
มาลิณี จุโฑประมา
(2554: 69-80)
ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยมไว้ว่า
กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ที่ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายนอกหรือกลุ่มพฤติกรรมนิยม
(Behaviorism)
มีดังนี้
1 . ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical
Conditioning)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก
หรือการตอบสนองที่ถูกกระตุ้น โดยสิ่งเร้าที่ปรากฏชัดเจนในสถานการณ์การเรียนรู้
นักจิตวิทยาที่สำคัญในทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของพาฟลอฟ (Pavlov)
เป็นผู้ริเริ่มศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้
หลักการเรียนรู้
หลักการเรียนรู้ทฤษฎีของพาฟลอฟเชื่อว่าสิ่งเร้า (Stimulus)
ที่เป็นกลางเกิดขึ้นพร้อมๆกับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดกริยาสะท้อนอย่างหนึ่งหลายๆครั้ง
สิ่งเร้าที่เป็นกลางจะทำให้เกิดกริยาสะท้อนอย่างนั้นด้วย การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการวางเงื่อนไข
(Conditioning) กล่าวคือ
การตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้านั้นๆต้องมีเงื่อนไขหรือมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นที่เป็นผลของการเรียนรู้
(กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์. 2550)
สิ่งเร้าที่เป็นกลางจะทำให้เกิดกิริยาสะท้อนอย่างนั้นด้วยการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการวางเงื่อนไข
หรือมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นซึ่งในธรรมชาติ หรือในชีวิตประจำวัน
จะไม่ตอบสนองเช่นนั้นเลย เช่น เมื่อสุนัขได้ยินเสียงกระดิ่ง
ตามปกติแล้วน้ำลายจะไม่ไหล แต่หลังจากวางเงื่อนไขแล้วน้ำลายจะไหล
เสียงกระดิ่งจึงเป็นสิ่งที่เร้าที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข
การทดลองของพาฟลอฟ
พาฟลอฟ
ทดลองกับสุนัข โดยผูกสุนัขที่กำลังหิวไว้ในห้องทดลอง
เขาผ่าตัดข้างแก้มสุนัขตรงต่อมน้ำลาย แล้วต่อสายยางเพื่อให้น้ำลายสายยางสู่เครื่องวัด
เขาทำการทดลองโดยการสั่นกระดิ่งแล้วเอาผงเนื้อใส่ปากสุนัข ทำซ้ำๆกันหลายๆครั้ง
ตามปกติสุนัขจะหลั่งน้ำลายเมื่อมีผงเนื้อในปาก
แต่เมื่อนำผงเนื้อมาคู่กับกระดิ่งพียงไม่กี่ครั้ง
เสียงกระดิ่งเพียงอย่างเดียวก็ทำให้สุนัขน้ำลายไหลได้แสดงว่าสุนัขเกิดการเรียนรู้แล้ว
(ชัยพร วิชชาวุธ. 2545) เดิมทีสุนัขไม่ได้หลั่งน้ำลายเมื่อได้ยอนเสียงกระดิ่ง
แต่เมื่อนำเสียงกระดิ่งไปคู่กับผงเนื้อ
สุนัขก็หลั่งน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งโดยไม่มีผงเนื้อ
สรุปผลการทดลองของพาฟลอฟ
พบว่า การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก ควรเริ่มจากการเสนอสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขก่อน
แล้วจึงเสนอสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข ช่วงเวลาในการให้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
และไม่วางเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการตอบสนองที่แตกต่างกัน
ถ้ามีการวางเงื่อนไขซ้อนกันมากครั้งหมายถึงการให้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขหลายๆสิ่ง
การตอบสนองก็จะมีกำลังอ่อนลงมายิ่งขึ้น
กระบวนการสำคัญอันเกิดจากการเรียนรู้ของพาฟลอฟ กระบวนการที่สำคัญ 3 ประการ
อันเป็นผลจากการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข คือ
1. การแผ่ขยาย คือ
ความสามารถของอินทรีย์ที่จะตอบสนองในลักษณะเดิมต่อสิ่งเร้าที่มีความคล้ายคลึงกันได้
2. การจำแนก คือ
ความสามารถของอินทรีย์ในการที่จะจำแนกความแตกต่างของสิ่งเร้าได้
3. การลบพฤติกรรม (Extinction)
เป็นการงดสิ่งเสริมแรงจนในที่สุดพฤติกรรมที่เคยปรากฏจะไม่ปรากฏอีก
กล่าวคือ ถ้าผู้ทดลองดำเนินการไปเรื่อยๆในขั้นสุดท้าย ถ้าผู้ทดลองให้เสียงกระดิ่ง
(CS) โดยไม่ให้ผงเนื้อ (UCS) ตามมา
จะทำให้ปฏิกิริยาน้ำลายไหล (CR) ลดลงเรื่อยๆ
จนในที่สุดจะไม่เกิดการตอบสนองเลย
สรุปหลักการวางเงื่อนไขของพาฟลอฟได้ดังนี้
1.
การลบพฤติกรรมชั่วคราว คือ
การที่พฤติกรรมการตอบสนองลดน้อยลงอันเป็นผลเนื่องจากการที่ไม่ได้รัยสิ่งเร้าที่ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไข
ความเข้มข้นของการตอบสนองจะลดน้อยลงเรื่อยๆ
ถ้าให้ร่างกายได้รับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขอย่างเดียวหรือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขกับสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขห่างกันออกไปมากขึ้น
การลบพฤติกรรมมิใช่การลืม
เป็นเพียงการลดลงเรื่อยๆซึ่งในที่นี้ก็คือรางวัลหรือสิ่งที่ต้องการ การฟื้นตัวของการตอบสนองที่วางเงื่อนไข
หลังจากเกิดการลบพฤติกรรมชั่วคราวแล้ว
สักระยะหนึ่งพฤติกรรมที่ถูกลบเงื่อนไขแล้วอาจฟื้นตัวเกิดขึ้นมาอีกได้รับการกระตุ้นโดยสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
2.
การฟื้นคืนสภาพการตอบสนองจากการวางเงื่อนไข หมายถึง การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไข
(CS)
ที่ลดลง เพราะได้รับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) เพียงอย่างเดียวจะกลับปรากฏขึ้นอีกและเพิ่มมากขึ้นๆ
ถ้าผู้เรียนมีการเรียนรู้อย่างแท้จริง เช่น
การที่สุนัขน้ำลายไหลอีกได้เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งเพียงอย่างเดียว
โดยไม่ต้องมีผงเนื้อมาเข้าคู่กับเสียงกระดิ่ง
3. การสรุปความเหมือน
ถ้าร่างกายมีการเรียนรู้โดยการแสดงอาการตอบสนองจากการวางเงื่อนไขต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขหนึ่งแล้ว
ถ้ามีสิ่งเร้าอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเดิม
ร่างกายจะตอบสนองเหมือนกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขนั้น
เป็นลักษณะที่ผู้เรียนไม่สามารถจะจำแนกสิ่งที่เรียนรู้ได้
เนื่องจากสิ่งที่เรียนรู้นั้นมีลักษณะคล้ายกับกับสิ่งเร้าที่เคยวางเงื่อนไขไว้
เช่น ถ้าสุนัขมีอาการน้ำลายไหลจากการสั่นกระดิ่งแล้ว
เมื่อสุนัขนั้นได้ยินเสียงระฆัง หรือเสียงฉาบ จะมีอาการน้ำลายไหลทันที
4.
การจำแนกความแตกต่าง ถ้าร่างกายมีการเรียนรู้โดยแสดงอาการ
ตอบสนองจากการวางเงื่อนไขต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเดิม
ร่างกายจะตอบสนองแตกต่างไปจากสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขนั้นเป็นลักษณะที่ผู้เรียนสามารถจำแนกสิ่งที่แตกต่างกันได้
เช่น ถ้าสุนัขมีอาการน้ำลายไหลจากเสียงกระดิ่งแล้ว เมื่อได้ยินเสียงแตร
หรือเสียงประทัด จะไม่มีอาการน้ำลายไหล
จากการศึกษาทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคของพาฟลอฟ
อาจกล่าวสรุปได้ว่า การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตในมุมมองของพาฟลอฟ คือการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
ซึ่งหมายถึง การใช้สิ่งเร้า 2 สิ่งคู่กัน
คือสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขและสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไขเพื่อเกิดการเรียนรู้
คือ การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไข
ซึ่งถ้าสิ่งมีชีวิตเกิดการเรียนรู้จริงแล้วจะมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า 2 สิ่งในลักษณะเดียวกันแล้วไม่ว่าจะตัดสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่งออกไป
การตอบสนองก็ยังคงเป็นเช่นเดิมเพราะผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขกับสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขกับการตอบสนองได้
2.
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคของวัตสัน (Watson’s Classical
Conditioning)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของวัตสัน
(Watson’s
Classical Conditioning) ซึ่งวัตสัน (Watson) ได้นำเอาทฤษฎีของพาฟลอฟมาเป็นหลักสำคัญในการอธิบายเรื่องการเรียนรู้ทำให้ทฤษฎีการเรียนรู้พาฟลอฟเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง
วัตสันเป็นผู้ตั้งศัพท์คำว่า “พฤติกรรมนิยม” (Behaviorism) เพราะเขาเห็นว่า
จิตวิทยา ซึ่งจะถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงนั้น
จะต้องศึกษาพฤติกรรมเฉพาะในสิ่งที่สังเกตได้อย่างเด่นชัด
เขามีความเห็นว่าการศึกษาทางจิตวิทยา ควรเป็นการศึกษาสิ่งที่เป็นปรนัย (Objective)
ไม่ใช้เป็นอัตนัย (Subjective) ซึ่งเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดของคน
ผลงานของวัตสันรับความนิยมแพร่หลาย
จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำของกลุ่มจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม (อารี พันธ์มณี. 2544)
การทดลองของวัตสัน
วัตสันได้นำเรื่องการเรียนรู้ด้วยการวางเงื่อนไขของพาฟลอฟไปใช้กับคน
โดยการทำการทดลองกับเด็กชายอายุ 11 เดือน ชื่อว่าอัลเบิร์ต โดยเขาให้ข้องสังเกตว่า
โดยธรรมชาติแล้วเด็กๆจะกลัวเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันและจะไม่กลัวสัตว์ประเภทหนู
กระต่าย วัตสัน วัตสันดำเนินการทดลองโดยปล่อยเด็กอัลเบิร์ตเล่นกับหนูขาว
พร้อมกับของเล่นต่างๆที่ทำด้วยขนปุกปุยคล้ายขนสัตว์
ต่อมาก็ได้นำหนูขาวกลับมาให้เล่นอีกขณะที่เด็กเอื้อมมือจะไปจับหนูดังที่เคยกระทำ
วัตสันจะวางเงื่อนไขโดยการทำเสียงดังด้วยการตีแผ่นเหล็กอย่างแรง
อัลเบิร์ตตกใจกลัวและร้องไห้ ผู้ทดลองทำเช่นนี้หลายๆครั้ง
ในที่สุดเพียงแต่อัลเบิร์ตเห็นหนูขาวก็เกิดความกลัว
และร้องไห้ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียงดังแล้วก็ตาม
จากการทดลองดังกล่าวปรากฏว่า
อัลเบิร์ตไม่กลัวแต่เพียงหนูเท่านั้น แต่จะกลัวสัตว์ที่มีขนทุกชนิด รวมทั้งของเล่น
หรือเสื้อผ้าที่มีขนคล้ายสัตว์นั้นด้วย วัตสันยังทำการทดลองต่อมาอีก
เพื่อพยายามลบพฤติกรรมการกลัว คือ ทำให้เด็กหายกลัว
การพยายามในการทดลองเพื่อขจัดพฤติกรรมนี้ วัตสันใช้วิธีงดตัวเสริมกำลัง (เสียงดัง)
ทำให้สภาพเสียงดังน่ากลัวนั้นหมดไป แล้ววางเงื่อนไขย้อนกลับอีกต่อหนึ่ง (Backward
Conditioning) คือ
เมื่อนำหนูขาวมาให้เด็กอีกก็จะให้สิ่งอื่นที่เด็กเกิดความพอใจด้วย เช่น
ให้เด็กกินนมและให้เกิดความอบอุ่น ปลอดภัยโดยให้อยู่ในอ้อมแขนของแม่
ในที่สุดวัตสันก็สามารถใช้การวางเงื่อนไขแบบย้อนกลับนี้ทำให้อัลเบิร์ตหายกลัวหนูและของเล่นที่มีลักษณะคล้ายกันได้
จากความสำเร็จครั้งนี้ของวัตสัตทำให้เขาคิดว่าเขาจะสามารถวางเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรมของบุคคลได้
สำหรับหลักการวางเงื่อนไขของวัตสันก็มีลักษณะเช่นเดียวกับของพาฟลอฟดังกล่าวมาแล้ว
ปัจจัยสำคัญเพื่อให้การวางเงื่อนไขเกิดผลดี
การเรียนรู้อันเกิดจากการวางเงื่อนไข
สิ่งเร้าจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆดังนี้
1.
สิ่งเร้าที่เป็นกลางหรือต้องวางเงื่อนไข (CS) จะต้องเสนอก่อนการเสนอสิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข
(UCS) และช่วงระยะเวลาห่างกันของการเสนอ CS กับ UCS จะต้องสั้นจึงจะมีการตอบสนองที่เข้ม
หากช่วงเวลาที่เสนอห่างกันมากการตอบสนอง เช่น น้ำลายไหลก็จะไม่เกิดขึ้น
2.
สิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไขจะต้องเสนอก่อนการเสนอสิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไขอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้มีคุณค่าที่จะทำนายว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองอย่างแน่นอน
ดังนั้นในการโฆษณาทางโทรทัศน์ควรจะเสนอตัวผลิตภัณฑ์ก่อน
ก่อนที่จะเสนอสิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไขให้ปรากฏ
3.
ทั้งสิ่งที่ต้องวางเงื่อนไขและสิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข จะต้องมีลักษณะเด่นสะดุดตาและมีคุณค่าดึงดูดใจมากกว่าสิ่งเร้าอื่นๆในสภาพแวดล้อมนั้น
ในการโฆษณาทางโทรทัศน์สิ่งเร้าทั้งสองอย่างนี้จะต้องเรียกร้องความสนใจแก่ผู้ชมโทรทัศน์เหนือโฆษณาของคู่แข่ง
4.
ความเข้มข้นของการตอบสนองนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไขหรือสิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไขหรือทั้งสองอย่างระกอบกัน
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกกับกระบวนการจัดการเรียนรู้
การนำทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกมาประยุกต์สู่กระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู
ดังนี้
1.
ครูผู้สอนควรจะหาทางคอยเสริมคอยย้ำพฤติกรรมที่พึงปรารถนา
เพื่อให้ผู้เรียนยังคงแสดงพฤติกรรมนั้นๆต่อไปอีก
เพื่อจะได้ไม่เกิดการเลือนหายไปของพฤติกรรม
2.
ในบางพฤติกรรมของผู้เรียน อันได้แก่ พฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาต่างๆ เช่น
ความกลัวสัตว์หรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอย่างไร้เหตุผลซึ่งผู้เรียนอาจจะถูกวางเงื่อนไขมาจากที่ใดที่หนึ่งนั้น
ครูควรจะหาทางลบล้างพฤติกรรมนั้นเสีย
3.
การเตรียมและใช้สื่อการสอนที่ดีจะช่วยเสริมสร้างให้เกิดลักษณะการวางเงื่อนไขได้เป็นอย่างดี
4. การสร้างบรรยากาศที่ดีในการเรียนการสอน เช่น
ความปลอดภัย ความอบอุ่น ความเป็นกันเอง ย่อมเป็นเงื่อนไขให้ผู้เรียนรักการเรียน
5.
การให้รางวัล การทำโทษ การแข่งขันเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่เป้าประสงค์แห่งการเรียน
6. ครูควรจะทำงานติดต่อกับนักเรียนเป็นรายบุคคล
เพื่อที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหายุ่งยากต่างๆในการเรียนรู้และช่วยสร้างพฤติกรรมที่ดีงาม
ลบพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้แก่นักเรียน
3. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของสกินเนอร์ (Skinner’s Operant
Conditioning Theory)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์
(Skinner)
เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกันมีความคิดว่าพฤติกรรมของอินทรีย์จะเกิดขึ้นเพราะอินทรีย์เป็นผู้กระทำหรือส่งออก
(Emit) มากกว่าเกิดขึ้นเพราะถูกสิ่งเร้าดึงให้ออกมา
พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติไม่ใช่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสิ่งเร้าใหม่กับสิ่งเร้าเก่า
ตามคำอธิบานของพาฟลอฟ สกินเนอร์ได้อธิบาย คำว่า “พฤติกรรม”
ว่าประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ตัว คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดขึ้นก่อน พฤติกรรม และผลที่ได้รับ
พฤติกรรมที่อินทรีย์ส่งออกมาเองก็คือ
อาการที่อินทรีย์กระทำต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น การอ่าน การเขียน
สกินเนอร์มีความเห็นสอดคล้องกับธอร์นไดค์ว่า การเสริมแรง (Reinforcement)
เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้
เขาจึงสนใจเรื่องการเสริมแรงนี้มากและได้ใช้การเสริมแรงเป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรม
แต่ความเห็นของสกินเนอร์เกี่ยวกับการเสริมแรงก็ยังแตกต่างจากความเห็นธอร์นไดค์ตรงที่เขากล่าวว่า
การเชื่อมโยงจะเกิดขึ้นระหว่างรางวัล (Reward) และการตอบสนอง
(Response) ไม่ใช่ระหว่างสิ่งเร้า (S) และการตอบสนอง
(R) ดังที่ธอร์นไดค์กล่าว
การทดลองของสกินเนอร์
สกินเนอร์
ทำการทดลองกับหนู โดยเขาสร้างเครื่องมือในการทดลองเป็นกล่องสี่เหลี่ยม เรียกว่า “Skinner
Box” ข้างในกล่องทำเป็นคาน
หรือลิ้นที่เป็นตัวบังคับให้อาหารตกลงในจานที่รองรับเหนือคานจะมีหลอดไฟที่มีวงจรต่อกับคาน
เมื่อไปถูกคานไฟจะสว่างและจะมีอาหารตกลงมา
เขาดำเนินการทดลองโดยการจับหนูที่กำลังหิวใส่ลงไปในกล่องทดลองปรากฏว่าหนูวิ่งไปวิ่งมา
จนกระทั่งไปเหยียบถูกคานเข้าโดยบังเอิญทำให้ไฟสว่างขึ้น
และหลังจากนั้นก็มีอาหารหล่นลงมาสู่จาน
หนูจึงได้กินอาหารซึ่งเป็นการเสริมแรงต่อการกดคานจากนั้นหนูก็วิ่งไปวิ่งมาอีก
จนกระทั่งไปกดคานอย่างรวดเร็วและได้อาหารทุกๆครั้ง พฤติกรรมแบบ Operant ก็จะเกิดเต็มที่ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือว่า
หนูตัวนี้เกิดการเรียนรู้แบบลงมือกระทำเอง
สกินเนอร์ได้บันทึกอัตราการกดคานของหนูในกระดาษ
โดยมีเครื่องมือสำหรับบันทึกติดต่ออยู่กับคาน
เส้นกราฟที่ได้แสดงให้เห็นถึงความถี่ของการกดคาน จากการทดลองของเขาพบว่า
ระยะแรกๆอัตราการกดคานจะต่ำมากประมาณครั้งละราว 15 นาที แต่จากนั้นอีกราว 30 นาที อัตราการกดคานจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เป็นอัตราที่สม่ำเสมอกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนูเกิดการเรียนรู้ที่จะกดคานแล้ว
จากการทดลองดังกล่าว สรุปได้ว่า
การตอบสนองหรือการกดคานจะเข้มข้นเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวเสริมแรง (Reinforcer)
ซึ่งได้แก่ อาหาร แสดงว่าการเรียนรู้ที่ดีจะต้องมีการเสริมแรง
หลังจากที่สกินเนอร์ทดลองให้หนูกดคาน
เพื่อให้อาหารเป็นรางวัลแล้วเขาได้เปลี่ยน การทดลองใหม่
โดยการใช้ไฟฟ้าช็อตเพื่อศึกษาเรื่องการลงโทษ คือ
ขณะที่หนูอยู่ในกรงมันจะถูกกระแสไฟฟ้าช็อต หนูก็จะวิ่งพล่านเพื่อหาทางออก
แต่ถ้าบังเอิญไปกดคานเมื่อไหร่ ไฟฟ้าจะหยุดช็อตทันทีเพียงไม่กี่ครั้งหนูก็รู้ว่าจะต้องกดคาน
จึงจะไม่ถูกไฟฟ้าช็อต แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนำหนูกลับมาที่กล่องนี้อีก
มันจะแสดงอาการกลัวอย่างลนลานและไม่อยากเข้ากล่องนั้นอีก
สกินเนอร์ใช้การเสริมแรงมาควบคุมพฤติกรรมของสัตว์
ทำให้สัตว์เกิดการเรียนรู้ตามที่เขาต้องการ
เขาเรียกการสอนให้เกิดการเรียนรู้ในการกระทำพฤติกรรมนี้ว่า
เป็นการดัดหรือการตบแต่งพฤติกกรม (Behavior Shaping) โดยเขาทำการทดลองกับนกพิราบ เพื่อให้มันจิกเครื่องหมายให้ถูกต้อง เมื่อผู้ทดลองเปิดไฟสีต่างๆและใช้อาหารเป็นตัวเสริมแรงให้เกิดพฤติกรรมที่ต้องการโดยยึดหลักการเสริมแรง
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนอย่างยิ่ง
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์กับการจัดการเรียนรู้ของครู การนำทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์มาประยุกต์สู่กระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู
มีดังนี้
1.
ควรจะให้แรงเสริมในพฤติกรรมที่แสดงว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้วโดยตอนแรกๆควรจะให้แรงเสริมทุกครั้งที่ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงปรารถนา
ต่อมาจึงค่อยใช้แรงเสริมเป็นครั้งคราวและจะต้องระวังมาให้แรงเสริมเมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์
2.
การปรับพฤติกรรม (Behavior Modification) คือ
การปรุงแต่งพฤติกรรมให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการซึ่งมี 3 ลักษณะดังนี้
2.1 การเพิ่มพฤติกรรมหรือคงพฤติกรรมเดิมที่เหมาะสมไว้
ซึ่งจะมีเทคนิคในการใช้เพิ่มพฤติกรรมหลายอย่างคือ การเสริมแรงในทางบวก
เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงพอใจ การทำสัญญาเงื่อนไข การเสริมแรงในทางลบ เป็นต้น
2.2 การปลูกฝังพฤติกรรมบางอย่างโดยใช้วิธีที่เรียกว่า
การดัดหรือการตบแต่งพฤติกรรม (Behavior Shaping) ซึ่งเป็นการใช้วิธีให้แรงเสริมกับพฤติกรรมที่ผู้เรียนทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ตามลำดับขั้นจนสามารถแสดงออกได้เป็นนิสัย
เช่น
การกระทำให้เด็กที่ไม่กล้าพูดไม่กล้าแสดงออกเป็นเด็กที่กล้าขึ้นมาได้ก็โดยการชมเชย
และให้กำลังใจเมื่อเขากล้าพูด และกล้าแสดงออก ฯลฯ
2.3 การลดพฤติกรรม เป็นการลดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
ซึ่งจะใช้วิธีการลงโทษ เช่น การฝ่าฝืนกฎ หรือระเบียบของโรงเรียน หรือสังคม
การสูบบุหรี่ เป็นต้น
3.
บทเรียนสำเร็จรูปหรือบทเรียนแบบโปรแกรม (Program Learning) จากหลักการให้แรงเสริมของสกินเนอร์ที่ว่า
เมื่อผู้เรียนทำถูกจะได้รางวัลทันที
มีผลให้เกิดบทเรียนสำเร็จรูปหรือบทเรียนแบบโปรแกรมและเครื่องช่วยสอน (Teaching
Machine) ขึ้น ซึ่งเน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองโดยมีคำตอบที่ถูกต้องไว้ให้
4.
การปรับพฤติกรรม คือ ทำการปรับพฤติกรรมของบุคคล
หลักการนี้อาจจะใช้ทั้งการเสริมแรงทางบวกและการเสริมแรงทางลบประกอบกัน
สรุปทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทะของสกินเนอร์เป็นหลักการที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ด้วยการให้สิ่งเร้าที่เป็นตัวเสริมแรง หลังจากที่ได้มีการกระทำตามเงื่อนไขแล้ว
การเสริมแรงทุกครั้งจะมีส่วนช่วยทำให้การตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆของอินทรีย์มีอันตราการตอบสนองที่เข้มข้นขึ้น
4. ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s
Connectionism Theory)
ธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงมากผู้หนึ่ง
โดยเขาได้ชื่อว่าเป็น “นักทฤษฎีการเรียนรู้คนแรกของอเมริกา” และ
“บิดาแห่งจิตวิทยาการศึกษา” ธอร์นไดค์
ได้ให้กำเนิดทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า (S)
กับการตอบสนอง (R) ทั้งนี้เพราะ
เขาถือว่าการเรียนรู้เป็นการแก้ปัญหา เพราะเมื่อผู้เรียนพบปัญหา
เขาจะมีปฏิกิริยาแบบเดาสุ่มซึ่งเป็นการลองผิดลองถูก Trial and Error นั่นคือ ผู้เรียนจะลองทำหลายวิธี จนกระทั่งประสบผลสำเร็จในที่สุด
โดยที่ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงสิ่งเร้าหรือปัญหาด้วยการตอบสนองที่เหมาะสมได้
ทฤษฎีของธอร์นไดค์ได้ชื่อว่า
“ความสัมพันธ์เชื่อมโยง” (connectionism) เพราะเขามีความเห็นว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเนื่องจากมีการเชื่อมโยงระหว่าง
S-R ธอร์นไดค์เน้นว่าสิ่งสำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ คือ
การเสริมแรง (Reinforcement) ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เดการเชื่อมโยงระหว่าง
S-R มากขึ้น หมายความว่า สิ่งเร้าใดทำให้เกิดการตอบสนอง
และการตอบสนองนั้นได้รับการเสริมแรง จะก่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่าง S-R นั้นมากขึ้น
การทดลองของธอร์นไดค์
ธอร์นไดค์
ทดลองกับแมว โดยสร้างกรงปัญหา (Puzzle Box) ซึ่งทำด้วยไม้
และมีประตูกลเขาจับแมวที่อดอาหารจนหิวใส่กรงปัญหา และปิดประตูกลให้เรียบร้อย
โดยการวางจานอาหารไว้นอกกรงให้แมวเห็น แต่ในระยะที่แมวเขี่ยไม่ถึง
สถานการณ์เหล่านี้เป็นการสร้างปัญหา เพื่อให้แมวหาทางออก มากินอาหารให้ได้ ธอร์นไดค์ใช้เวลา 5
วันในการทดลองโดยแบ่งเป็นช่วงเช้าและบ่าย วันละ 20 ครั้ง รวมทั้ง 100 ครั้ง และเมื่อทดลองครบ
10 ครั้ง แมวจะได้กินอาหารและหยุดพัก
ผลการทดลองพบว่าในการทดลองครั้งแรก
แมวพยายามแสดงอาการตอบสนองอย่างเดาสุ่มหลายๆอย่าง เช่น ส่งเสียงร้อง ตะกุยกรง
ใช้ฟันกัด ใช้เท้าเขี่ยประตู และอีกหลายๆอย่าง จนกระทั่งบังเอิญไปเหยียบแผ่นไม้
ซึ่งมีเชือกดึงสปริงทำให้ถอดสลักประตูกรง แมวจึงออกมากินอาหารตามต้องการได้
ในการทดลองครั้งต่อมาแมวค่อยๆลดการตอบสนองที่ห่างไกลความจริงในการแก้ปัญหาทีละน้อยและใช้เวลาในการหาทางออกจากกรงน้อยลงๆ
จนเมื่อการทดลองผ่านไปหลายสิบครั้งแมวก็สามารถเปิดประตูกรงได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาอีก
แสดงว่าแมวเกิดการเรียนรู้ในการที่จะออกจากกรง
โดยการไปเหยียบแผ่นไม้แล้วประตูจึงเปิด
เป็นการมองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างแผ่นไม้กับการเปิดประตู
ธอร์นไดค์จึงสรุปว่า การเรียนรู้ของแมวมีลักษณะ “ลองผิด ลองถูก” (Trial
and Error) มิใช่เนื่องมาจากสติปัญญา
ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดค์กับกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู
มีดังนี้
1. ในบางสถานการณ์
ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูกซึ่งเป็นวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง
2. ควรสอนเมื่อผู้เรียนมีความพร้อม
ดังนั้นจึงควรชี้แจงจุดมุ่งหมายของการเรียนหรือนำเข้าสู่บทเรียน
เพื่อเตรียมความพร้อมเสียก่อน
3.
พยายามช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน และการทำงาน
และให้เขาได้ทราบผลการเรียนและการทำงานเพื่อกระตุ้นให้อยากเรียนรู้ต่อไปและเกิดเจตคติ
ที่ดีจำทำให้มีความตั้งใจในการเรียนมากขึ้น
4.
การสอนในชั้นเรียนควรกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชั้นเจนหมายถึงการตั้งจุดมุ่งหมายที่สังเกตการตอบสนองได้และครูจะต้องจัดแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยๆ
ให้เขาเรียนทีละหน่วย เพื่อที่ผู้เรียนจะได้เกิดความรู้สึกพอใจในผลที่เขาเรียนในแต่ละหน่วยนั้น
5.
การสอนควรเริ่มจากสิ่งที่ง่ายไปสิ่งที่ยาก การสร้างแรงจูงใจนับว่าสำคัญมาก
เพราะจะทำให้ผู้เรียนเกิดความพอใจเมื่อได้รับสิ่งที่ต้องการหรือรางวัล
รางวัลจึงเป็นสิ่งที่ควบคุมพฤติกรรมของผู้เรียน
6. การสร้างแรงจูงใจภายนอกให้กับผู้เรียน
ครูจะต้องให้ผู้เรียนรู้ผลการกระทำหรือผลการเรียนเพราะการรู้ผลจะทำให้ผู้เรียนการกระทำนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
ดีหรือไม่ดี พอใจหรือไม่พอใจ ถ้าการกระทำนั้นผิดหรือไม่เป็นที่พอใจเขาก็จะได้รับการแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องเพื่อที่จะได้รับสิ่งที่เขาพอใจต่อไป
7. ควรให้ผู้เรียนได้มีการฝึกหัด
หรือทำกิจกรรมนั้นซ้ำอีกตามความเหมาะสมเพื่อให้เกิดความแม่นยำ
และความชำนาญยิ่งขึ้น
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้ความสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นการเน้นสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองทั้งนี้เพราะการเรียนรู้เป็นการแก้ปัญหา
เมื่อผู้เรียนพบปัญหาเขาจะมีปฏิกิริยาแบบเดาสุ่มซึ่งเป็นการลองผิดลองถูก
ผู้เรียนจะลองทำหลายวิธี จนกระทั่งประสบความสำเร็จในที่สุด
โดยที่ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงสิ่งเร้าหรือปัญหาด้วยการตอบสนองที่เหมาะสมได้
สยุมพร ศรีมุงคุณ (https://www.gotoknow.org/posts/341272)
ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ไว้ว่า นักคิดในกลุ่มนี้มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง คือ
ไม่ดี–ไม่เลว การกระทำต่างของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
(stimulus response) การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง กลุ่มพฤติกรรมนิยมให้ความสนใจกับ “พฤติกรรม”
มากเพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด
สามารถวัดและทดสอบได้
1. ทฤษฎีการเชื่อมโยง(Classical
Connectionism) ของธอร์นไดค์(Thorndike)
มีความเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ บุคคลจะมีการลองผิดลองถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุดเมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเและจะพยายามใช้รูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ
การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จึงเน้นที่การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนแบบลองผิดลองถูกบ้าง
มีการสำรวจความพร้อมของผู้เรียนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำก่อนการสอนบทเรียน
เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้วครูควรฝึกให้ผู้เรียนฝึกการนำการเรียนรู้นั้นไปใช้บ่อยๆ
การศึกษาว่าสิ่งใดเป็นสิ่งเร้าหรือรางวัลที่ผู้เรียนพึงพอใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
2. ทฤษฎีการวางเงื่อนไข(Conditioning
Theory) ประกอบด้วยทฤษฏีย่อย
4 ทฤษฏี ดังนี้
1) ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของพาฟลอฟ (Pavlov’s
Classical Conditioning) เน้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข สรุปแนวคิดตามทฤษฏีนี้ได้ว่า
การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
2)
ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของวัตสัน (Watson’s Classical
Conditioning) เน้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเช่นกัน
สรุปแนวคิดตามทฤษฏีนี้ได้ว่า
การเรียนรู้จะคงทนถาวรหากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กันนั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ
3) ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่องของกัทธรี(Guthrie’s
Contiguous Conditioning) เน้นหลักการจูงใจ สรุปแนวคิดตามทฤษฏีนี้ได้ว่า
การเรียนรู้เมื่อเกิดขึ้นแล้วแม้เพียงครั้งเดียว ก็นับว่าได้เรียนรู้แล้วไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอีก 4)
ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนต์ของสกินเนอร์(Skinner’s Operant
Conditioning) เน้นการเสริมแรงหรือให้รางวัล สรุปแนวคิดตามทฤษฏีนี้ได้ว่า การกระทำใดๆ
ถ้าได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีก
การเสริมแรงที่แปรเปลี่ยนทำให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแรงที่ตายตัว
การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จึงเน้นที่การเสนอสิ่งเร้าในการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีการแสริมแรงหรือให้รางวัลเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจที่จะเรียนรู้
ทฤษฏีการเรียนรู้ของฮัลล์
(Hull’s
Systematic Behavior Theory) มีความเชื่อว่าถ้าร่างกายเมื่อยล้า การเรียนรู้จะลดลง
การตอบสนองต่อการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อได้รับแรงเสริมในเวลาใกล้บรรลุเป้าหมาย
หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จึงมักคำนึงถึงความพร้อม
ความสามารถและเวลาที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุด การจัดการเรียนการสอนควรให้ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อตอบสนองระดับความสามารถของผู้เรียน
เลิศชาย ปานมุข (http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=2874.0;wap2)
ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม(Behaviorism)ไว้ว่า นักคิดในกลุ่มนี้มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง คือ
ไม่ดี ? ไม่เลว
การกระทำต่างของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก
พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า(stimulus
response) การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง กลุ่มพฤติกรรมนิยมให้ความสนใจกับ พฤติกรรม
มากเพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด สามารถวัดและทดสอบได้ ทฤษฏีการเรียนรู้ในกลุ่นี้
ประกอบด้วยแนวคิดสำคัญๆ 3 แนวด้วยกัน คือ
- ทฤษฎีการเชื่อมโยง (Classical
Connectionism) ของธอร์นไดค์(Thorndike)มีความเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจาการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ บุคคลจะมีการลองผิดลองถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด
- ทฤษฎีการวางเงื่อนไข(Conditioning
Theory) ประกอบด้วยทฤษฏีย่อย
4 ทฤษฏี ดังนี้ 1)
ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของพาฟลอฟ (Pavlov?s Classical
Conditioning) เน้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข สรุปแนวคิดตามทฤษฏีนี้ได้ว่า
การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข 2) ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของวัตสัน(Watson?s
Classical Conditioning) เน้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเช่นกัน 3)
ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่องของกัทธรี(Guthrie?s Contiguous
Conditioning) เน้นหลักการจูงใจ 4)
ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนต์ของสกินเนอร์(Skinner?s Operant
Conditioning) เน้นการเสริมแรงหรือให้รางวัล
- ทฤษฏีการเรียนรู้ของฮัลล์(Hull's
Systematic Behavior Theory) มีความเชื่อว่าถ้าร่างกายเมื่อยล้า การเรียนรู้จะลดลง
การตอบสนองต่อการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อได้รับแรงเสริมในเวลาใกล้บรรลุเป้าหมาย
สรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(Behaviorism)เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลางคือไม่ดีไม่เลว(neutral-passive)การกระทำต่าง ๆของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก
หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จึงมักคำนึงถึงความพร้อมความสามารถและเวลาที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุด
การจัดการเรียนการสอนควรให้ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อตอบสนองระดับความสามารถของผู้เรียนพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า(stimulus-response)การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองกลุ่มพฤติกรรมนิยมให้ความสนใจกับพฤติกรรมมาก
เพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดคือทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning
Theory) ประกอบด้วยทฤษฏีย่อย4 ทฤษฏี ดังนี้
1)
ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของพาฟลอฟ(Pavlov’s Classical
Conditioning) เน้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
สรุปแนวคิดตามทฤษฏีนี้ได้ว่า
การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
2)
ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของวัตสัน(Watson’s Classical
Conditioning) เน้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเช่นกัน สรุปแนวคิดตามทฤษฏีนี้ได้ว่า
การเรียนรู้จะคงทนถาวรหากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กันนั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ
3)
ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่องของกัทธรี(Guthrie’s Contiguous
Conditioning) เน้นหลักการจูงใจ สรุปแนวคิดตามทฤษฏีนี้ได้ว่า
การเรียนรู้เมื่อเกิดขึ้นแล้วแม้เพียงครั้งเดียว
ก็นับว่าได้เรียนรู้แล้วไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอีก
4)
ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนต์ของสกินเนอร์(Skinner’s Operant
Conditioning) เน้นการเสริมแรงหรือให้รางวัล
สรุปแนวคิดตามทฤษฏีนี้ได้ว่า การกระทำใดๆ ถ้าได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีก
การเสริมแรงที่แปรเปลี่ยนทำให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแรงที่ตายตัว
การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จึงเน้นที่การเสนอสิ่งเร้าในการเรียนการสอน
การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
มีการแสริมแรงหรือให้รางวัลเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจที่จะเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น